บนถนนในปัจจุบัน รถที่วิ่งกันอยู่แทบจะเป็นรถกลางเก่าขึ้นไปเกือบทั้งหมด
บางคันภายนอก ล้างขัดสีเสียสะอาดเงาวิ้งวับ แต่ข้างในเครื่องยนต์สกปรกมาก
โดยเฉพาะคุณสุภาพสตรีที่ ปกติแล้วจะให้สามี ไม่ก็นำรถเข้าศูนย์บริการให้ช่างตรวจเช็คให้เลย
ด้งนั้น ไม่ใช่แค่ภายนอกที่เราต้องดูแล "ภายในเครื่องยนต์" เองก็สำคัญไม่แพ้กันครับ
สิ่งที่ต้องตรวจเช็คเพื่อไม่ให้เกิดอาการเร่งไม่ขึ้นสามารถดูตามนี้ได้เลยครับ
1.หัวเทียน และ คอยล์จุดระเบิด
อุปกรณ์ทั้ง 2 ตัวจะเป็นตัวที่จุดระเบิดให้เครื่องยนต์ให้รถวิ่งได้ เมื่อใช้ไปนานมันก็ย่อมสึกเพราะต้องรองรับแรงระเบิดเป็นพันๆ ครั้งต่อวินาที เหมือนก้อนหินที่ถูกน้ำเซาะทุกวัน หากหัวเทียนเสื่อมสภาพ อาการที่จะสังเกตได้อย่างชัดเจนเลยคือ เครื่องยนต์จะสตาร์ทติดยากขึ้นหรือรถสั่นเบาถึงแรงมาก และเร่งไม่ค่อยขึ้น หากรถสั่นถึงระดับแรงมาก ให้แนะนำเข้าศูนย์ที่ใกล้ที่สุดเพื่อเปลี่ยนทันทีครับ ไม่งั้นรถคุณมีโอกาสดับระหว่างวิ่งแน่นอน ลองนึกภาพว่าคุณขับรถอยู่ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แล้วอยู่ๆ เครื่องยนต์ดับดูสิครับ จะเกิดอะไรขึ้น
ราคาหัวเทียนจะมีตั้งแต่หลัก 100 บาทไปจนถึงหลัก 10,000 บาทแล้วแต่คุณภาพกับระยะทาง ส่วนคอยล์จุดระเบิดราคาจะประมาณ 2000 บาทครับ
2.ระบบกรองอากาศ
"อ้าว... แล้วกรองอากาศมาเกี่ยวอะไรด้วย??"
ในปกติแล้วกระบานการจุดระเบิดของเครื่องยนต์จะใช้ทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงและอากาศครับ กรองอากาศจะทำหน้าที่กรองสิ่งแปลกปลอมทุกอย่างที่เครื่องยนต์สูบเข้าไป เพื่อให้ได้อากาศที่สะอาดที่สุด สำหรับการจุดระเบิด ทั้งนี้หากกรองอากาศอุดตัน จะทำให้อากาศถูกสูบเข้าไปไม่เพียงพอกับการใช้ในการจุดระเบิด ทำให้ "รถเร่งไม่ขึ้น เครื่องสั่น กินน้ำมันเชื้อเพลิงได้
หากชำรุด แน่นอนว่าจะเป็นช่องให้สิ่งแปลกปลอมหลุดเข้าไปในเครื่องและอาจไปอุดตันในเครื่องได้ ยิ่งอากาศแบบบ้านเรายิ่งหนักเลยครับ ทั้งฝุ่นทั้งเศษขยะปลิวกันให้เต็มท้องถนนไปหมด
"แล้ว..กรองอากาศเราตรวจเช็คเมื่อไหร่ดี ?"
ควรตรวจเช็คทุก 10,000 กิโลเมตร หรือ เปลี่ยนทุก 20,000 กิโลเมตรครับ
หรือเมื่อใดที่รู้สึกว่ามีอาการ "เร่งไม่ขึ้น เหยียบไม่ไป" ลองเข้าศูนย์บริการเพื่อเช็คดูก็ไม่เสียหายครับ
3.น้ำมันเชื้อเพลิง
น้ำมันเชื้อเพลิงก็เช่นเดียวกับอากาศครับ คือส่วนประกอบที่ใช้ในการจุดระเบิดเครื่องยนต์ และหากมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปก็จะทำให้เครื่องเกิดปัญหาได้ครับ สำหรับสิ่งแปลกปลอมที่พบมากที่สุดใน ถังน้ำมันเชื้อเพลิงเลยคือ
1.น้ำ
2.ไขมัน
ทั้ง 2 ตัวนี้เกิดจากการใช้พลังงานทดแทนครับก็คือ แก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซล ตามลำดับ ที่เราใช้กันอยู่ในทุกวันนี้นั่นเอง นอกจากจะทำให้เครื่องเกิดปัญหาแล้ว ยังทำให้เกิดเชื้อรา แบคทีเรีย คราบสนิม ตามมาด้วย สิ่งเหล่านี้จะเข้าไปอุดตันในทุกส่วนของระบบเชื้อเพลิงเช่น ท่อทางเดินน้ำมัน หัวฉีดน้ำมัน กระบอกสูบ กรองน้ำมันฯลฯ จนเป็นสาเหตุให้เกิดสะดุด สะอึก เร่งไม่ขึ้น จนถ้าหนักมากๆ น้ำมันเชื้อเพลิงไหลผ่านไม่ได้ เครื่องจะดับไปในที่สุด ถ้าพอจะจำกันได้มีอยู่หลายข่าวเลยที่เสนอว่า "มีปั้มเอาน้ำมาผสมน้ำมันขาย" หรือ "ถังน้ำมันไม่ได้คุณภาพ ทำให้น้ำซึมเข้าไป" รวมไปจนถึงภาพที่มีคนนำรถไปซ่อมเพราะสตาร์ทไม่ติด ปรากฏว่าถอดถังน้ำมันออกมาดูปุ๊บ ถึงกับ "ช็อค" ว่าทำไมน้ำปริมาณเท่าอ่างใบใหญ่ๆ ถึงอยู่ในถังน้ำมันได้ จนเป็นคำถามสะเทือนสังคมอยู่พักนึงเลยทีเดียว
วิธีแก้คือ
1.เข้าศูนย์บริการถอดถังน้ำมันมาล้าง ค่าใช้จ่ายประมาณ 6000 - 7000 บาท
2.ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเชื้อเพลิงทั้งระบบสำหรับ Gasohol และ Biodiesel
ขอขอบคุณภาพสวยๆ จาก http://www.boxzaracing.com/
4.หัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิง
หัวฉีดคือส่วนที่ปล่อยน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปผสมกับอากาศก่อนที่จะจุดระเบิดในเครื่องยนต์ บางครั้งเราอาจจะเคยได้ยินว่า "รถเร่งไม่ขึ้น วิ่งไม่ออก ก็ไปล้างหัวฉีดซะสิ"
ซึ่งหัวฉีดเองก็คล้ายกับกรองอากาศครับ หากเกิดการอุดตัน จะทำให้ไม่สามารถปล่อยน้ำมันออกมาได้เพียงพอกับปริมาณที่ต้องใช้ ทำให้เรารู้สึกว่ารถเร่งไม่ขึ้น จึงเหยียบคันเร่งขึ้นอีก
เมื่อรอบมากขึ้น การฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงก็มากขึ้น ซึ่งนี่คือสาเหตุที่ "รถกินน้ำมัน" มากกว่าปกติครับ
วิธีการทำความสะอาดหัวฉีดมี 2 วิธีคือ
1.นำรถเข้าศูนย์บริการ ในศูนย์บางแห่งจะมีเครื่องล้างหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงแสตนด์บายไว้อยู่ครับ
2.ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเชื้อเพลิงทั้งระบบ แต่อย่าลืมว่าต้องเฉพาะสำหรับ"พลังงานทดแทน" ด้วยครับ ไม่เช่นนั้นกลายเป็นจ่าย 100 ได้แค่ 50
5.น้ำมันเครื่อง และ กรองน้ำมันเครื่อง
ปัญหาที่เกิดจากการไม่เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเมื่อถึงระยะคือ "เครื่องร้อน เครื่องสะดุด สะอึก" ครับ ซึ่งปัญหานี้สามารถแก้ได้แค่เพียงการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและกรองน้ำมันเครื่องครับ ปกติแล้วการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง หากเป็นผู้ใช้รถทั่วไปอาจจะต้องนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อเปลี่ยน ทั้งนี้การเปลี่ยนถ่ายอย่างเดียวคราบน้ำมันเครื่องเก่าจะออกไม่หมด จะคงเหลือกาก ตะกรันอยู่ในเครื่องยนต์ประมาณ 1/4 ซึ่งหากเราเติมน้ำมันเครื่องใหม่ผสมลงไปเลย คุณภาพน้ำมันเครื่องจะลดลง เพราะมันไปผสมกับของเก่าที่เสื่อมสภาพแล้ว เหมือนชามที่ไม่ได้ล้าง แล้วตักซุปใหม่ใส่ลงไปรสก็จะออกมาผสมๆ กันนั่นแหละครับ
วิธีแก้ให้น้ำมันเครื่องใหม่สะอาดที่สุดคือใช้ Engine Flush สำหรับเครื่องยนต์ครับ
ถามว่า "สามารถใช้ Flushing Oil ได้หรือไม่" ตรงนี้ขอตอบว่า Flushing Oil ถือว่าเป็นอันตรายต่อเครื่องยนต์มากๆ ครับ เพราะตัวพื้นฐานเป็น สารละลาย ที่มีฤทธิ์กัดกร่อนโลหะ
กรณีที่จะใช้ได้คือมีคราบกากน้ำมันเครื่องหรือหัวเชื้อน้ำมันค้างอยู่ในเครื่องยนต์ปริมาณมาก
แต่ไม่ควรใช้เกิน 1 ครั้งต่อปี ไม่เช่นนั้นเตรียมเสียเงินก้อนใหญ่ ยกเครื่องใหม่ได้เลยครับ
สำหรับท่านใดที่ใช้รถมาตั้งนาน แต่ยังไม่เคยนำรถไปตรวจเลย หรือนำไปตรวจแค่ตอนมีอาการหนัก อาจทำให้ต้องเสียเงินหลักแสนก็เป็นได้ครับ รถของเรา เราขับทุกวันย่อมรู้ว่าดีมีสิ่งไปผิดแปลกไปจากปกติ แม้แค่เสียงเบาๆการดูแลรักษารถยนต์อย่างสม่ำเสมอมีข้อดีคือ ทำให้เรารู้ว่าส่วนไหนใกล้เสีย ส่วนไหนยังดีอยู่ และทำให้เราใช้รถได้นาน ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายบนถนน แน่นอนว่า ถูกกว่าการซ่อมใหญ่ครั้ง
สำหรับเรื่องราวนี้หวังว่าจะเป็นความรู้ที่ดีในการดูแลรถคันโปรดของท่านได้นะครับ
บทความหน้าจะเป็นเรื่องอะไรติดตามกันได้ครับ
Comments